Updates:

เว็บบาคาร่าออนไลน์ 888 มีให้เล่นครบทุกค่าย เว็บรวมคาสิโนที่โครตดี บอกไว้เลย

สมัครคาสิโนออนไลน์ UFA350 เว็บตรง ค่าน้ำดี เว็บแทงหวยออนไลน์ HuayDragon รับทุกเลข ไม่อั้น
เว็บคาสิโน JUAD888 สมัครเล่นบาคาร่าออนไลน์ เครดิตฟรี เว็บแทงบอล UFAZEED พนันบอลออนไลน์ได้ทุกลีก
เว็บแทงบอลออนไลน์ UFABET350 เว็บตรงพนันบอล สมัครเล่นบาคาร่า SAGAME66 เว็บรวมคาสิโนออนไลน์
เว็บคาสิโน สล็อต บาคาร่า SSGAME6666 เว็บตรงแทงบอลออนไลน์ UFAC4 ค่าน้ำดีทุกคู่
ทางเข้าเว็บบาคาร่า SAGAME350 คาสิโนออนไลน์อันดับหนึ่ง ทางเข้าเล่นบาคาร่าออนไลน์ BACCARAT.GAME
เว็บบอร์ดพนันออนไลน์ รายใหญ่ของไทย เว็บคาสิโนออนไลน์ รวมทุกเกมพนันเอาไว้ในที่เดียว

เส้นทาง 4 แชมป์เปล่งประกาย! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูลปราบแมนซิตี้ทะลุชิงเอฟเอคัพ

เริ่มโดย มาราโดน่า, เม.ย 17, 2022, 11:15 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

มาราโดน่า



ลิเวอร์พูล เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ในการคว้า 4 แชมป์โดยล่าสุดปราบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-2 ในรอบรองชนะเลิศ ศึกเอฟเอ คัพ เมื่อวันเสาร์ที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา โดยแมตช์นี้ "หงส์แดง" โชว์ฟอร์มได้เด็ดสะระตี่เหลือเกินในช่วงครึ่งแรก ด้วยการไล่ยำ "เรือใบสีฟ้า" และได้สกอร์นำห่าง 3-0 แต่ครึ่งหลัง แมนฯ ซิตี้ แก้เกมมาดีสามารถไล่กดดันจนได้สองประตู แต่สุดท้ายไล่ไม่ทันจบเกมทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ทำภารกิจสำเร็จทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี

1. ครึ่งแรกอย่างเทพ-ครึ่งหลังอย่างเศร้า



     สองเกมลีกที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ กินกันไม่ลงแต่ในศึกฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คล็อปป์ จัดชุดใหญ่เต็มสูบ แถมผู้เล่นคีย์แมนฟิตเต็มสูบ ขณะที่ "เรือใบสีฟ้า" 11 ตัวจริงไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุด และยังขาด เควิน เดอ บรอยน์ ทำให้แดนกลางของพวกเขาเล่นไม่ค่อยโดดเด่น ขาดจังหวะการผ่านบอลที่เฉียบคม และชอตมหัศจรรย์

     ขณะที่ "หงส์แดง" เล่นค่อนข้างโดดเด่นในจังหวะการเล่นเกมบุก ทุกครั้งที่พวกเขาเปิดเกมเข้ามาในพื้นที่สุดท้ายสามารถสร้างความหวาดเสียวได้ตลอด ที่สำคัญจังหวะการเล่นลูกตั้งเตะยังคงเป็นทีเด็ดของ ลิเวอร์พูล อยู่เสมอ

     อีกหนึ่งจุดที่ต้องบอกว่าน่าประทับใจมากๆ สำหรับฟอร์มของ "เดอะ เร้ดส์" ในช่วง 45 นาทีแรกก็คือการต่อบอลที่แม่นยำ โดยเฉพาะจังหวะที่ได้ประตูนำห่าง 3-0 พวกเขาเล่นชิงกันอย่างยอดเยี่ยม ก่อนที่ ติอาโก้ อัลกันทาร่า จะโชว์คลาสระดับโลก ตักบอลอย่างงาม ทำให้ ซาดิโอ มาเน่ ตะบันได้อย่างสบายๆ

     ส่วนครึ่งหลังต้องบอกว่าเป็นฟอร์มที่น่าผิดหวังจริงๆ สำหรับ ลิเวอร์พูล พวกเขาน่าจะใช้ความได้เปรียบจากการมีสกอร์นำห่างให้เป็นประโยชน์ แต่กลับทำให้ตัวเองตกอยู่ในความกดดัน จนโดนคู่แข่งยิงประตูไล่ตีตื้น เดชะบุญที่ประตู 3-2 เกิดขึ้นในช่วงทดเจ็บ ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ไม่มีเวลาที่จะไล่ตีเสมอ

2. โกนาเต้ ยิ่งเล่นยิ่งโดดเด่น



     ตอนนี้ดูเหมือนว่า อิบราฮิม่า โกนาเต้ เริ่มฉายแววให้เห็นความเป็นสุดยอดกองหลังมากขึ้นเรื่อยๆ และอนาคตน่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ได้อย่างเหมาะสมที่สุด เพราะฟอร์มในช่วงที่ผ่านมาโดดเด่นอย่างมาก

     ปราการหลังเลือดเฟร้นช์ เล่นได้อย่างแข็งแกร่งในเกมรับ โดยเฉพาะในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ เบนฟิก้า เจ้าตัวจัดการโขก 2 ประตูจาก 2 แมตช์ที่ปะทะกับ "เหยี่ยวลิสบอน" แถมยังเล่นได้เหนียวแน่นในการรับมือกับคู่แข่ง

     ส่วนในเกมที่สนามเวมบลีย์ โกนาเต้ โชว์ให้เห็นทักษะการเป็นกองหลังสมัยใหม่ที่พร้อมขึ้นมาทำประตูในจังหวะเล่นลูกเตะมุม และเขาก็ทำได้อีกครั้ง นอกจากนี้เจ้าตัวยังสามารถวางบอลยาวได้อย่างแม่นยำด้วย ซึ่งก็แสดงให้เห็นในหลายๆ จังหวะสำหรับเกมนี้

     อย่างไรก็ตามจุดที่ยังต้องแก้ไขก็คือเรื่องความนิ่ง กับการผ่านบอลสั้น เพราะ โกนาเต้ เกือบทำพลาดในช่วงครึ่งหลังที่ส่งบอลไม่ดี ทำให้ แมนฯ ซิตี้ สวนกลับและ กาเบรียล เชซุส มีโอกาสยิงประตู แต่ดีที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ โชว์ซูเปอร์เซฟทำให้ "หงส์แดง" รอดตายอย่างหวุดหวิด

3. มาเน่ฟอร์มสุดขีด-บังโมต้องรออีกหน่อย



     ช่วงนี้ต้องบอกว่าเป็นขาขึ้นของ ซาดิโอ มาเน่ อย่างแท้จริงๆ ฟอร์มของเจ้าตัวโดดเด่นอย่างมาก ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความมั่นใจส่วนตัวจากการที่นำ เซเนกัล คว้าแชมป์แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ และได้ทะลุเข้าไปเล่นรอบสุดท้าย ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ปลายปีนี้

     มาเน่ แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและกระตือรือร้น ดูได้จากจังหวะที่เขาทำประตูแรกของตัวเอง และเป็นประตูที่สองให้ทีมนำ 2-0 โดยพยายามวิ่งเข้าไปกดดัน แซค สเตฟเฟ่น จนทำให้เขาลังเลและสุดท้ายก็เกิดความผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

     ส่วนประตูที่สองของเขาที่ช่วยให้ทีมนำห่าง 3-0 ดาวยิงชาวเซเนกัล เป็นการโชว์ให้เห็นว่าเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น และกล้ายิงประตูแบบไม่ต้องจับ ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาตะบันบอลได้สวยขนาดนี้ก็ต้องขอบคุณ ติอาโก้ ที่วางบอลได้เนี้ยบอย่างไม่มีที่ติ

     หันกลับมาที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตอนนี้บอกเลยว่าเป็นช่วงเรียกความมั่นใจหลังผิดหวังจากเกมทีมชาติ โดยฟอร์มของ "บังโม" ยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง แม้จะมีจังหวะปั่นป่วน โอเล็กซานเดร์ ซินเชนโก้ ได้ แต่เจอ นาธาน อาเก้ ดับรัศมี ที่น่าเสียดายก็คือโอกาสส้มหล่นจาก ซินเชนโก้ ถ้าเป็น "คิง ออฟ อียิปต์" คนเดิมบอลคงเข้าไปซุกตาข่ายสบายๆ แต่ตอนนี้มันยังไม่เป็นแบบนั้น !!

4. ขาด เดอ บรอยน์ แทบขาดใจ



     คงจะไม่ผิดหากบอกว่าการที่ แมนฯ ซิตี้ ไม่มี เควิน เดอ บรอยน์ ก็เหมือนการขาดอาวุธหนักที่เอาไว้ถล่ม "หงส์แดง" เพราะหากย้อนไปใน 2 เกมลีกซีซั่นนี้ จอมทัพชาวเบลเยียม มีส่วนสำคัญกับฟอร์มของ "เรือใบสีฟ้า" อย่างแท้จริง

     ผลกระทบในเกมกลางสัปดาห์ที่ออกไปเยือน แอตเลติโก มาดริด ส่งผลให้ เดอ บรอยน์ ได้รับบาดเจ็บแม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ "เป๊ป" เลือกที่จะไม่เสี่ยงใส่ชื่อเขาลงเล่นตัวจริง เพราะมองว่าถ้านักเตะดวงแตกบาดเจ็บหนักอาจส่งผลเสียในเกมพรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

     กระนั้นการขาด เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยียม ส่งผลให้แดนกลางของ แมนฯ ซิตี้ ขาดจังหวะการเล่น โดย แบร์นาร์โด้ ซิลวา ไม่สามารถปั้นเกมได้ ขณะที่ แฟร์นานดินโญ่ แม้พยายามจะช่วยเติมเกมบุก แต่ด้วยธรรมชาติที่เป็นมิดฟิลด์ตัวรับทำให้การผ่านบอลไม่เฉียบคม ส่วน แจ็ค กรีลิช นอกจากจังหวะยิงประตูตีไข่แตก ที่เหลือก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

     ตอนนี้เชื่อว่าแฟนบอลแมนฯ ซิตี้ ทั้งพันธุ์แท้และพันธุ์ทาง น่าจะเริ่มรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องสภาพจิตใจ เพราะตอนนี้พวกเขาพลาดโอกาสสร้างประวัติศาสตร์คว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลนี้ สวนทางกับ ลิเวอร์พูล น่าจะเต็มไปด้วยความฮึกเหิม หลังล้มคู่แข่งที่แกร่งที่สุดได้สำเร็จ
 


5. เส้นทาง 4 แชมป์เริ่มต้นแล้ว



      บรรดาสาวก "เดอะ ค็อป" อาจจะยังไม่กล้าวาดฝันในการสร้างประวัติศาสตร์คว้า 4 แชมป์ในฤดูกาลนี้ แต่ถ้าจะบอกว่าไม่คาดหวังก็เหมือนการโกหกตัวเอง เพราะตอนนี้โอกาสที่ทีมรักของพวกเขาจะทำได้มันเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

     ในศึกพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่ 1 คะแนนเท่านั้น แม้บรรดากูรูลูกหนังและ "พวกน้องๆ" มองว่าโอกาสของ "เดอะ เร้ดส์" อาจจะน้อยนิดเนื่องจากโปรแกรมของพวกเขาหนักหนาสาหัสกว่า "เรือใบสีฟ้า" หลายเท่า แต่ในวงการลูกหนังมักจะเกิดเรื่องมหัศจรรย์ได้เสมอ

     ส่วนในเกมฟุตบอลถ้วยตอนนี้ คล็อปป์ แอนด์โค. ทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศเรียบร้อย ทั้ง เอฟเอ คัพ และ แชมเปี้ยนส์ ลีก ส่วนเกมคาราบาว คัพ พวกเขานำโทรฟี่ไปประดับในตู้โชว์ที่สนามแอนฟิลด์เรียบร้อยแล้ว

     ก้าวย่างแห่งประวัติศาสตร์จะยิ่งน่าสนใจมากขึ้นหากในเกม "แดงเดือด" เตรียมรับมือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนามแอนฟิลด์ วันอังคารที่ 19 เม.ย.นี้ ถ้าพวกเขาคว้า 3 คะแนนได้สำเร็จ คงไม่ผิดที่จะวาดฝันคว้า 4 แชมป์ !!

Similar topics (4)


สมัครเล่นสล็อต JOKER GAMING รับโบนัส 60% ทันที เล่นสล็อตออนไลน์ PGSLOT แจกฟรีสปิน เว็บสล็อตออนไลน์ GAME350 ดีที่สุด ค่าย SA GAMING แบรนด์เกมที่นิยมที่สุดในไทย สมัครเล่นบาคาร่า AE SEXY รับโบนัส 50% ฟรี