ทางเข้าเล่นบาคาร่า 888 สังคมคนเล่นคาสิโนออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด

BACCARAT 888 NEWS => วิธีเล่น สูตรบาคาร่า บทความพนันออนไลน์ => หัวข้อที่ตั้งโดย: มาราโดน่า เมื่อ เม.ย 17, 2022, 11:15 หลังเที่ยง

ชื่อ: เส้นทาง 4 แชมป์เปล่งประกาย! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูลปราบแมนซิตี้ทะลุชิงเอฟเอคัพ
โดย: มาราโดน่า เมื่อ เม.ย 17, 2022, 11:15 หลังเที่ยง
(https://static.siamsport.co.th/news/2022/04/17/news202204170143309.jpg)

ลิเวอร์พูล เดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์ในการคว้า 4 แชมป์โดยล่าสุดปราบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 3-2 ในรอบรองชนะเลิศ ศึกเอฟเอ คัพ เมื่อวันเสาร์ที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา โดยแมตช์นี้ "หงส์แดง" โชว์ฟอร์มได้เด็ดสะระตี่เหลือเกินในช่วงครึ่งแรก ด้วยการไล่ยำ "เรือใบสีฟ้า" และได้สกอร์นำห่าง 3-0 แต่ครึ่งหลัง แมนฯ ซิตี้ แก้เกมมาดีสามารถไล่กดดันจนได้สองประตู แต่สุดท้ายไล่ไม่ทันจบเกมทีมของกุนซือเจอร์เก้น คล็อปป์ ทำภารกิจสำเร็จทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี

1. ครึ่งแรกอย่างเทพ-ครึ่งหลังอย่างเศร้า

(https://static.siamsport.co.th/files/images/GettyImages-1240023630.jpg)

     สองเกมลีกที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ซิตี้ กินกันไม่ลงแต่ในศึกฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก คล็อปป์ จัดชุดใหญ่เต็มสูบ แถมผู้เล่นคีย์แมนฟิตเต็มสูบ ขณะที่ "เรือใบสีฟ้า" 11 ตัวจริงไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุด และยังขาด เควิน เดอ บรอยน์ ทำให้แดนกลางของพวกเขาเล่นไม่ค่อยโดดเด่น ขาดจังหวะการผ่านบอลที่เฉียบคม และชอตมหัศจรรย์

     ขณะที่ "หงส์แดง" เล่นค่อนข้างโดดเด่นในจังหวะการเล่นเกมบุก ทุกครั้งที่พวกเขาเปิดเกมเข้ามาในพื้นที่สุดท้ายสามารถสร้างความหวาดเสียวได้ตลอด ที่สำคัญจังหวะการเล่นลูกตั้งเตะยังคงเป็นทีเด็ดของ ลิเวอร์พูล อยู่เสมอ

     อีกหนึ่งจุดที่ต้องบอกว่าน่าประทับใจมากๆ สำหรับฟอร์มของ "เดอะ เร้ดส์" ในช่วง 45 นาทีแรกก็คือการต่อบอลที่แม่นยำ โดยเฉพาะจังหวะที่ได้ประตูนำห่าง 3-0 พวกเขาเล่นชิงกันอย่างยอดเยี่ยม ก่อนที่ ติอาโก้ อัลกันทาร่า จะโชว์คลาสระดับโลก ตักบอลอย่างงาม ทำให้ ซาดิโอ มาเน่ ตะบันได้อย่างสบายๆ

     ส่วนครึ่งหลังต้องบอกว่าเป็นฟอร์มที่น่าผิดหวังจริงๆ สำหรับ ลิเวอร์พูล พวกเขาน่าจะใช้ความได้เปรียบจากการมีสกอร์นำห่างให้เป็นประโยชน์ แต่กลับทำให้ตัวเองตกอยู่ในความกดดัน จนโดนคู่แข่งยิงประตูไล่ตีตื้น เดชะบุญที่ประตู 3-2 เกิดขึ้นในช่วงทดเจ็บ ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ไม่มีเวลาที่จะไล่ตีเสมอ

2. โกนาเต้ ยิ่งเล่นยิ่งโดดเด่น

(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240022668-594x594(1).jpg)

     ตอนนี้ดูเหมือนว่า อิบราฮิม่า โกนาเต้ เริ่มฉายแววให้เห็นความเป็นสุดยอดกองหลังมากขึ้นเรื่อยๆ และอนาคตน่าจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ได้อย่างเหมาะสมที่สุด เพราะฟอร์มในช่วงที่ผ่านมาโดดเด่นอย่างมาก

     ปราการหลังเลือดเฟร้นช์ เล่นได้อย่างแข็งแกร่งในเกมรับ โดยเฉพาะในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่พบกับ เบนฟิก้า เจ้าตัวจัดการโขก 2 ประตูจาก 2 แมตช์ที่ปะทะกับ "เหยี่ยวลิสบอน" แถมยังเล่นได้เหนียวแน่นในการรับมือกับคู่แข่ง

     ส่วนในเกมที่สนามเวมบลีย์ โกนาเต้ โชว์ให้เห็นทักษะการเป็นกองหลังสมัยใหม่ที่พร้อมขึ้นมาทำประตูในจังหวะเล่นลูกเตะมุม และเขาก็ทำได้อีกครั้ง นอกจากนี้เจ้าตัวยังสามารถวางบอลยาวได้อย่างแม่นยำด้วย ซึ่งก็แสดงให้เห็นในหลายๆ จังหวะสำหรับเกมนี้

     อย่างไรก็ตามจุดที่ยังต้องแก้ไขก็คือเรื่องความนิ่ง กับการผ่านบอลสั้น เพราะ โกนาเต้ เกือบทำพลาดในช่วงครึ่งหลังที่ส่งบอลไม่ดี ทำให้ แมนฯ ซิตี้ สวนกลับและ กาเบรียล เชซุส มีโอกาสยิงประตู แต่ดีที่ อลีสซง เบ็คเกอร์ โชว์ซูเปอร์เซฟทำให้ "หงส์แดง" รอดตายอย่างหวุดหวิด

3. มาเน่ฟอร์มสุดขีด-บังโมต้องรออีกหน่อย

(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1391790235-594x594(1).jpg)

     ช่วงนี้ต้องบอกว่าเป็นขาขึ้นของ ซาดิโอ มาเน่ อย่างแท้จริงๆ ฟอร์มของเจ้าตัวโดดเด่นอย่างมาก ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความมั่นใจส่วนตัวจากการที่นำ เซเนกัล คว้าแชมป์แอฟริกัน เนชั่นส์ คัพ และได้ทะลุเข้าไปเล่นรอบสุดท้าย ศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ ปลายปีนี้

     มาเน่ แสดงให้เห็นถึงการเล่นที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและกระตือรือร้น ดูได้จากจังหวะที่เขาทำประตูแรกของตัวเอง และเป็นประตูที่สองให้ทีมนำ 2-0 โดยพยายามวิ่งเข้าไปกดดัน แซค สเตฟเฟ่น จนทำให้เขาลังเลและสุดท้ายก็เกิดความผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย

     ส่วนประตูที่สองของเขาที่ช่วยให้ทีมนำห่าง 3-0 ดาวยิงชาวเซเนกัล เป็นการโชว์ให้เห็นว่าเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น และกล้ายิงประตูแบบไม่ต้องจับ ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาตะบันบอลได้สวยขนาดนี้ก็ต้องขอบคุณ ติอาโก้ ที่วางบอลได้เนี้ยบอย่างไม่มีที่ติ

     หันกลับมาที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตอนนี้บอกเลยว่าเป็นช่วงเรียกความมั่นใจหลังผิดหวังจากเกมทีมชาติ โดยฟอร์มของ "บังโม" ยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง แม้จะมีจังหวะปั่นป่วน โอเล็กซานเดร์ ซินเชนโก้ ได้ แต่เจอ นาธาน อาเก้ ดับรัศมี ที่น่าเสียดายก็คือโอกาสส้มหล่นจาก ซินเชนโก้ ถ้าเป็น "คิง ออฟ อียิปต์" คนเดิมบอลคงเข้าไปซุกตาข่ายสบายๆ แต่ตอนนี้มันยังไม่เป็นแบบนั้น !!

4. ขาด เดอ บรอยน์ แทบขาดใจ

(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1391420900-594x594.jpg)

     คงจะไม่ผิดหากบอกว่าการที่ แมนฯ ซิตี้ ไม่มี เควิน เดอ บรอยน์ ก็เหมือนการขาดอาวุธหนักที่เอาไว้ถล่ม "หงส์แดง" เพราะหากย้อนไปใน 2 เกมลีกซีซั่นนี้ จอมทัพชาวเบลเยียม มีส่วนสำคัญกับฟอร์มของ "เรือใบสีฟ้า" อย่างแท้จริง

     ผลกระทบในเกมกลางสัปดาห์ที่ออกไปเยือน แอตเลติโก มาดริด ส่งผลให้ เดอ บรอยน์ ได้รับบาดเจ็บแม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงมากนัก แต่ "เป๊ป" เลือกที่จะไม่เสี่ยงใส่ชื่อเขาลงเล่นตัวจริง เพราะมองว่าถ้านักเตะดวงแตกบาดเจ็บหนักอาจส่งผลเสียในเกมพรีเมียร์ลีก และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

     กระนั้นการขาด เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติเบลเยียม ส่งผลให้แดนกลางของ แมนฯ ซิตี้ ขาดจังหวะการเล่น โดย แบร์นาร์โด้ ซิลวา ไม่สามารถปั้นเกมได้ ขณะที่ แฟร์นานดินโญ่ แม้พยายามจะช่วยเติมเกมบุก แต่ด้วยธรรมชาติที่เป็นมิดฟิลด์ตัวรับทำให้การผ่านบอลไม่เฉียบคม ส่วน แจ็ค กรีลิช นอกจากจังหวะยิงประตูตีไข่แตก ที่เหลือก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน

     ตอนนี้เชื่อว่าแฟนบอลแมนฯ ซิตี้ ทั้งพันธุ์แท้และพันธุ์ทาง น่าจะเริ่มรู้สึกกังวลเกี่ยวกับเรื่องสภาพจิตใจ เพราะตอนนี้พวกเขาพลาดโอกาสสร้างประวัติศาสตร์คว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลนี้ สวนทางกับ ลิเวอร์พูล น่าจะเต็มไปด้วยความฮึกเหิม หลังล้มคู่แข่งที่แกร่งที่สุดได้สำเร็จ
 


5. เส้นทาง 4 แชมป์เริ่มต้นแล้ว

(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240026238-594x594.jpg)

      บรรดาสาวก "เดอะ ค็อป" อาจจะยังไม่กล้าวาดฝันในการสร้างประวัติศาสตร์คว้า 4 แชมป์ในฤดูกาลนี้ แต่ถ้าจะบอกว่าไม่คาดหวังก็เหมือนการโกหกตัวเอง เพราะตอนนี้โอกาสที่ทีมรักของพวกเขาจะทำได้มันเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ

     ในศึกพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ตามหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่ 1 คะแนนเท่านั้น แม้บรรดากูรูลูกหนังและ "พวกน้องๆ" มองว่าโอกาสของ "เดอะ เร้ดส์" อาจจะน้อยนิดเนื่องจากโปรแกรมของพวกเขาหนักหนาสาหัสกว่า "เรือใบสีฟ้า" หลายเท่า แต่ในวงการลูกหนังมักจะเกิดเรื่องมหัศจรรย์ได้เสมอ

     ส่วนในเกมฟุตบอลถ้วยตอนนี้ คล็อปป์ แอนด์โค. ทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศเรียบร้อย ทั้ง เอฟเอ คัพ และ แชมเปี้ยนส์ ลีก ส่วนเกมคาราบาว คัพ พวกเขานำโทรฟี่ไปประดับในตู้โชว์ที่สนามแอนฟิลด์เรียบร้อยแล้ว

     ก้าวย่างแห่งประวัติศาสตร์จะยิ่งน่าสนใจมากขึ้นหากในเกม "แดงเดือด" เตรียมรับมือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่สนามแอนฟิลด์ วันอังคารที่ 19 เม.ย.นี้ ถ้าพวกเขาคว้า 3 คะแนนได้สำเร็จ คงไม่ผิดที่จะวาดฝันคว้า 4 แชมป์ !!