ค้นหา

[มาราโดน่า]

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เวลาที่ต้องลืมความเจ็บปวดที่โดน ลิเวอร์พูล คู่อริตลอดกาลยัดเยียดความปราชัยแบบหมดรูปในเกม "แดงเดือด" เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และกลับมาตั้งสติใหม่สำหรับแมตช์เยือน อาร์เซน่อล วันเสาร์ที่ 23 เมษายนนี้ โดยพวกเขาจะได้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กลับมาประจำการล่าตาข่ายอีกครั้ง ส่วน แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ว่ากันว่ามีสิทธิ์โดนดร็อปเนื่องจากปัญหาเรื่องสภาพจิตใจ ขณะที่เจ้าบ้านกลับมาคึกสุดๆ หลังเพิ่งโชว์ฟอร์มเทพอัด เชลซี ในศึกลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ เมื่อกลางสัปดาห์ ที่สำคัญชัยชนะในแมตช์นี้อาจจะเป็นการเดิมพันการลุ้นติดท็อปโฟร์เลยทีเดียว

1. โรนัลโด้ กลับมาแล้ว
     หลังจากที่พบกับความสูญเสียไปช่วงต้นสัปดาห์นี้ ทำให้ โรนัลโด้ พลาดลงสนามในเกม "แดงเดือด" เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ตอนนี้เจ้าตัวสามารถกลับมาลงซ้อมร่วมกับเพื่อนร่วมทีมได้เป็นที่เรียบร้อย โดยงานนี้ "เฮียโด้" มาพร้อมกับความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการที่จะบุกหักปากกระบอกปืนใหญ่ถึงถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม เพื่อเปิดโอกาสให้กับทีมกลับมาลุ้นท็อปโฟร์อีกครั้ง แม้ว่าฟอร์มของ "ผีแดง" จะย่ำแย่ แต่ผลงานของ "ซีอาร์ เซเว่น" กับสโมสรยังอันตรายเหมือนเดิม โดยปัจจุบันเขาซัดไปแล้ว 21 ประตูในทุกรายการ ส่วนในลีกตะบันไป 15 ลูก ซึ่งถือว่าสุดยอดมากๆ สำหรับคนที่อายุปาเข้าไป 37 ปีแล้ว ที่น่าสนใจก็คือตอนนี้ โรนัลโด้ ซัดในพรีเมียร์ลีกให้กับ แมนฯ ยูฯ รวม 2 ช่วงระยะเวลา 99 ลูก (สมัยอยู่แมนยูครั้งแรกยิงไป 84 ประตู) ดังนั้นเขาขาดแค่อีกประตูเดียวก็จะกลายเป็นนักเตะ "เร้ด เดวิลส์" คนที่ 4 ที่ซัดได้ 100 ประตูในลีกต่อจาก เวย์น รูนี่ย์ (183), ไรอัน กิ๊กส์ (109) และ พอล สโคลส์ (107)

 

2. วิบากกรรมแม็กไกวร์
     ผู้เล่นที่ได้ชื่อว่าถูกกล่าวขวัญ (ในทางลบ) มากที่สุดของสโมสรอย่าง แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ตอนนี้อยู่ในช่วงฟอร์มตกแบบดำดิ่งสุดๆ โดยเขาโดนนำไปล้อเลียนแทบทุกแพล็ตฟอร์มในโลกออนไลน์ จนได้รับฉายา "นักเตะผู้สร้างคอนเทนต์" โดยฟอร์มล่าสุดก็ไม่เอาอ่าวในศึก "แดงเดือด" ที่โดน ลิเวอร์พูล เปิดบ้านทะลวงไส้แตก 4-0 ส่งผลให้ แม็กไกวร์ ตกเป็นเป้าโจมตีอย่างหนัก ล่าสุดถึงขนาดมีคนขู่จะวางระเบิดบ้านของเขาเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ทำให้มีรายงานออกมาว่ามีความเป็นไปได้ที่ ราล์ฟ รังนิก อาจจะเลือกดร็อปนักเตะในแมตช์นี้ เพราะหวั่นเรื่องสภาพจิตใจของเขา และฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ ขณะเดียวกันการที่ ราฟาแอล วาราน กลับมาฟิตสมบูรณ์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ กุนซือชาวเยอรมัน จับมาเป็นตัวหลักในแนวรับ และอาจใส่ชื่อ เอริก ไบยี่ ให้ลงสนามร่วมกัน ส่วน วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ผลงานไม่ต่างจาก แม็กไกวร์ น่าจะได้ดูเพื่อนร่วมทีมอยู่ที่้ข้างสนาม

 

3. ดาวรุ่งมีลุ้นได้ลงเล่นเกมสำคัญ
     แมตช์เยือนถิ่นเอมิเรตส์ สเตเดี้ยม ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากสำหรับ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะนั่นอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการลุ้นติดท็อปโฟร์ของพวกเขา อย่างไรก็ตาม รังนิก ก็พร้อมที่จะเสี่ยงให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งได้ลงเล่นในเกมแบบนี้เหมือนกับที่เขาให้โอกาส  ฮันนิบัล เมจบรี้ ลงสนามเกมพ่ายยับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเจ้าหนูหัวฟูรายนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นทุ่มเทโดยเฉพาะการวิ่งไล่เตะไล่อัดแข้ง "หงส์แดง" แบบไม่เกรงกลัว จนทำให้ แกรี่ เนวิลล์ ต้องออกมาชื่นชม ฉะนั้นในแมตช์กับ อาร์เซน่อล เชื่อว่า 3 ดาวรุ่งอย่าง อเลฮานโดร การ์นาโช่ , อัลบาโร่ เฟร์นานเดซ  และ โชล่า ชอเรทิเร่ ที่ได้ร่วมซ้อมกับทีมชุดใหญ่ มีลุ้นลงสนามในแมตช์นี้เช่นกัน งานนี้ด้วยความเป็นดาวรุ่งที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง น่าจะทำให้พวกเขาพร้อมทุ่มเททั้งกายและใจในการใส่ไม่ยั้งแข้งเจ้าบ้านแน่นอน

 

4. บ้านอาร์เซน่อลไม่หมูนะครับ
     หลังจากที่เครื่องสะดุดเพลาหักสลักหายไป 3 เกมติดต่อกันในลีก แต่พวกเขาสามารถตั้งสติกลับมาได้ด้วยการเอาชนะ เชลซี คู่อริร่วมเมืองในเกมลอนดอน ดาร์บี้แมตช์ ได้อย่างงดงามทำให้ตอนนี้ดูเหมือน มิเกล อาร์เตต้า แอนด์โค. กลับมามีความมั่นใจอีกครั้ง ที่สำคัญผลงานของ "เดอะ กันเนอร์ส" ในบ้านก็ไม่ธรรมดาเวลาที่รับมือ แมนฯ ยูไนเต็ด เนื่องจาก 3 เกมลีกหลังสุดที่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม พวกเขาไม่แพ้ "ผีแดง" เลย โดยชนะ 2 และเสมอ 1 เกม ยิ่งไปกว่านั้น "ปืนโต" ยังมีสถิติเก็บได้ 32 คะแนนเวลาที่เล่นในบ้านเกมพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ มีแค่ ลิเวอร์พูล (42 แต้ม) และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (38 แต้ม) ที่เก็บคะแนนได้มากกว่าพวกเขาในการเล่นเป็นทีมเหย้า ดังนั้นนี่คือข้อได้เปรียบสำคัญที่จะทำให้ อาร์เซน่อล มีโอกาสเก็บ 3 คะแนนจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงระส่ำระส่ายสุดๆ แถมยังมีข่าวดีว่า ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ แบ็กขวาตัวเก่งหายเจ็บกลับมาลงสนามเกมปะทะ แมนฯ ยูฯ ได้ด้วย งานนี้บอกเลยว่า อาร์เซน่อล พร้อมเต็บสูบจริงๆ

 

5. การลุ้นคว้าท็อปโฟร์ยังเข้มข้น
     สถานการณ์ก่อนแข่งแมตช์นี้ อาร์เซน่อล รั้งอันดับ 5 มี 57 คะแนนเท่ากับ สเปอร์ส ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด มี 54 แต้มแต่แข่งมากกว่า 1 แมตช์ ดังนั้นทีมของกุนซือราล์ฟ รังนิก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเก็บสามแต้มในแมตช์นี้ให้ได้ เพราะหากทำสำเร็จโอกาสในการลุ้นติดท็อปโฟร์ของพวกเขาจะกลับมาทันที ในทางตรงกันข้ามถ้าทำได้แค่เสมอ หรือแพ้ งานนี้บอกเลยว่าตั๋วใบสุดท้ายไปลุยศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คงเป็นการแข่งกันระหว่าง "ไอ้ปืนใหญ่" กับ "ไก่เดือยทอง" ส่วน "ผีแดงกับสามง่ามคู่ใจ" คงได้แต่นั่งมองตาปริบๆ และรอไปเริ่มต้นใหม่ฤดูกาลหน้า !!